กฎหมายและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการสร้างงานตามมาตรา ๓๕
๑)
บทบัญญัติตามมาตรา ๓๕
ตามมาตรา
๓๕
กำหนดให้นายจ้างหรือหน่วยงานของรัฐสามารถใช้มาตรการอื่นแทนการจ้างงานหรือส่งเงินเข้ากองทุน บัญญัติว่า ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา
๓๓ หรือนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา ๓๓
และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา ๓๔ หน่วยงานของรัฐ
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้นอาจให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ
จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน
หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทนก็ได้ ทั้งนี้
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนดในระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ
จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
พ.ศ. ๒๕๕๒ และเพิ่มเติมตามราชกิจจานุเบกษา ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้
๑. หลักเกณฑ์การให้สัมปทาน
ได้แก่ การให้สิทธิแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการครอบครองหรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรหรือทรัพย์สินใดๆ
เพื่อให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้ใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ
มีระยะเวลาดำเนินงานไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
และทรัพย์สินที่ให้สัมปทานมีมูลค่าไม่น้อยกว่าจำนวนค่าจ้างซึ่งต้องจ้างคนพิการในปีนั้น สำหรับวิธีการให้สัมปทานขององค์กรเอกชน
กลุ่มเป้าหมายได้รับประโยชน์ต้องเป็นคนพิการหรือผู้ดูแล กิจการต้องเป็นเรื่องอาชีพ
เช่น
๑.๑
การให้ประโยชน์จากอาคาร สถานที่ หรือทรัพย์สินที่อยู่ในความดูแล
หรือใช้ประโยชน์ของหน่วยงานของรัฐ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ
๑.๒
การให้สิทธิ์ได้จำหน่ายสินค้าหรือบริการภายใต้ลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายการค้าของหน่วยงานของรัฐ
นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ
๑.๓
การจัดสรรเวลาออกอากาศของสถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์ เคเบิลทีวี
ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ประชาชนสามารถรับฟังหรือรับชมได้อย่างแพร่หลาย และให้หมายความรวมถึงการจัดสรรพื้นที่ในเว็บไซต์
หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์
๑.๔
การให้สัมปทานอื่นๆ ตามี่คณะอนุกรรมการประกาศกำหนด
การให้สัมปทานนั้น
หน่วยงานของรัฐอาจดำเนินการภายในองค์กรหรือภายนอกองค์กรซึ่งหน่วยงานของรัฐมีสิทธิครอบครองหรือใช้ประโยชน์โดยการเช่าก็ได้
โดยให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐหรือผู้ซึ่งมีอำนาจอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากอาคาร
สถานที่ หรือทรัพย์สินแห่งนั้นเป็นผู้อนุญาต
และลงนามในสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างหน่วยงานของรัฐกับคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
การใช้สิทธิในสัมปทานของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
การให้ใช้สิทธิในสัมปทานต้องมีระยะเวลาตามสัญญาต้องไม่น้อยกว่า
๑ ปี กรณีการให้ใช้สิทธิในสัมปทาน มีระยะเวลาตามสัญญามากกว่า ๑ ปี
ให้หน่วยงานดำเนินการตรวจสอบและคำนวณมูลค่าการให้สิทธิในสัมปทานเป็นรายปี
๒. การจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ ต้องมีลักษณะและเงื่อนไข
ดังต่อไปนี้
๒.๑
ตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งเห็นได้ง่าย และสะดวกต่อการจำหน่ายสินค้าหรือให้บริการ
๒.๒
มีสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกที่คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้
๒.๓
มีสิ่งปลูกสร้างสำหรบใช้เป็นสถานที่จำหน่ายสินคาที่มั่นคง ปลอดภัย
โดยหน่วยงานของรัฐ
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการมีสิทธิครอบครองในสถานที่แห่งนั้น
๒.๔
มีขนาดพื้นที่เหมาะสมตามประเภทกิจการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ
๒.๕
ได้รับการยกเว้นค่าเช่าพื้นที่และค่าใช้จ่ายอันที่เกี่ยวข้องตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
๒.๖
ช่วงเวลาการจำหน่ายสินค้าหรือให้บริการให้เป็นไปตามเวลาเปิดและปิดทำการปกติ
ของหน่วยงานของรัฐหรือสถานประกอบการแห่งนั้น หรือตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
๒.๗
การจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการต้องมีมูลค่าการดำเนินงานไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
การคำนวณมูลค่าตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามอัตราอ้างอิงราคาในทองตลาด
กรณีไม่มีราคาตามท้องตลาดมาอ้างอิงให้เป็นไปตามอัตราที่ผู้รับการประเมินยื่นแบบการชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินของราชการส่วนท้องถิ่นแห่งนั้น
หรือตามอัตราที่คณะอนุกรรมการหรือคณะอนุกรรมการส่งเสริม
และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประจำจังหวัดประกาศกำหนด
กรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการได้ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการให้เช่าอาคาร สถานที่
หรือมีหลักฐานการให้เช่าจากผู้เช่ารายอื่นมาแสดงก็ให้นำอัตราค่าเช่านั้นมาคำนวณมูลค่าตามวรรคสอง
การจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการต้องมีระยะเวลาการดำเนินงานตามสัญญาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี หากมีระยะเวลาตามสัญญามากกว่าหนึ่งปี ให้หน่วยงานดำเนินการตรวจสอบ และคำนวณมูลค่าการจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการเป็นรายปี
กรณีหน่วยงานของรัฐ
ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐมีอำนาจอนุญาตภายใต้เงื่อนไขให้ใช้อาคาร
หรือสถานที่ของหน่วยงานของรัฐที่ได้กำหนดไว้ โดยได้รับการยกเว้นค่าเช่าและค่าธรรมเนียมอื่นและมีระยะเวลาตามสัญญาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
ให้หน่วยงานของรัฐ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนและติดตามผลการปฏิบัติเพื่อให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการสามารถดำเนินกิจการจำหน่ายสินค้าหรือบริการได้
๓. การจัดจ้างเหมาช่วงงานหรือการจ้างเหมาบริการ ต้องมีลักษณะและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
๓.๑
เป็นการจ้างคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการโดยตรง
๓.๒
เป็นการจ้างที่มีลักษณะมุ่งผลสำเร็จของงานที่ว่าจ้างภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา
หรือข้อตกลง เช่น การรักษาความสะอาด งานความปลอดภัย งานสวน
งานศึกษาวิจัย งานสำรวจ งานติดตามประเมินผล งานข้อมูล งานพิมพ์
งานผลิตเอกสาร
งานผลิตสื่อประชาสัมพันธ์
งานผลิตสินค้า หรือบริการ งานก่อสร้าง หรืองานปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นตน
หรือลักษณะอื่นตามที่คณะอนุกรรมการประกาศกำหนด
๓.๓
ผู้ว่าจ้างต้องจดทำเอกสารแนบท้ายสัญญาที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการประมาณการด้านต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการจัดการ และกำไรเพื่อประกอบการพิจารณาของหน่วยงานจัดหางานกรุงเทพ
หรือ จัดหางานจังหวัด
๓.๔
กรณีหน่วยงานของรัฐ
ก่อนดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ในแต่ละปีให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ
มอบหมายเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกำหนดลักษณะงานที่เหมาะสมภายในองค์กรเพื่อมอบให้คนพิการหรือผู้ดูแล คนพิการทำแทนได้
และจัดสรรงบประมาณตามวงเงินที่กำหนดแล้วให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุของหน่วยงาน
แห่งนั้นติดต่อกับผู้รับจ้างเป็นรายกรณีโดยตรงเพื่อเสนอให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นเป็นผู้มีอำนาจอนุมติ
และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับการจ้างตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นโดยวิธีกรณีพิเศษ
การจัดจ้างเหมาช่วงงานหรือการจ้างเหมาบริการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ
ต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดจำนวนคนพิการ ที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของ
สถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
การคำนวณมูลค่าของสัญญา
ให้กระทำได้ ๒ กรณี ดังนี้
๑) กรณีกำหนดให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการเป็นผู้จัดหาวัสดุ
อุปกรณ์ หรือเงินลงทุนตามลักษณะของงานที่จ้าง
ให้พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เป็นกำไรที่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการจะได้รับเมื่อครบกำหนดสัญญาจ้างในปีนั้น
๒) กรณีกำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเป็นผู้จัดหาวัสดุ
อุปกรณ์ หรือเงินทุนตามลักษณะของงานที่จ้าง ให้พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เป็นค่าตอบแทนหรือค่าแรงงานที่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้รับเมื่อครบกำหนดสัญญาจ้างในปีนั้น
กรณีหน่วยงานของรัฐให้กำหนดวงเงินตามสัญญาหรือข้อตกลงที่จะจ้างในแต่ละครั้ง โดยพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสม ตามลักษณะของงานและจำนวนคนพิการที่ต้องรับเข้าทำงาน
ระยะเวลาของสัญญาจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการ ให้เป็นไปตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
หากมีระยะเวลามากกว่าหนึ่งปี
ให้หน่วยงานดำเนินการตรวจสอบและคำนวณมูลค่าตามสัญญาเป็นรายปี
กรณีหน่วยงานของรัฐอาจดำเนินการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ โดยให้ดำเนินการภายในปีงบประมาณและในกรณีที่มีข้อตกลงให้จ้างต่อเนื่อง
ให้สัญญาหรือข้อตกลงดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคมของแต่ละปีได้
ให้หน่วยงานของรัฐแจ้งหัวหน้าหน่วยงานสำนักงานจัดหางานกรุงเทพ
หรือ จัดหางานจังหวัด
พร้อมส่งสำเนาสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการจ้าง ภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่มีการเข้าทำสัญญาดังกล่าว
๔. การฝึกงาน แก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการต้องมีลักษณะและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
๔.๑
หลักสูตรการฝึกงานต้องมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ
ประสบการณ์ ความชำนาญ การถ่ายทอดวิทยาการ เทคโนโลยี
หรือองค์ความรู้ต่าง ๆ
เพื่อให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้
๔.๒
ระยะเวลาฝึกงานต้องไม่น้อยกว่าหกเดือน
ทั้งนี้
ต้องไม่น้อยกว่าหกร้อยชั่วโมง
หรือตามที่หน่วยงานของรัฐแห่งนั้นเห็นสมควรและมีการมอบวุฒิบัตรที่ออกโดยหน่วยงานที่รับฝึกงานแก่ผู้ผ่านการฝึกงานด้วย
๔.๓
หลักสูตรการฝึกงานของนายจ้างหรือสถานประกอบการต้องได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณี
เว้นแต่หลักสูตร
ของเอกชนซึ่งได้รับการเห็นชอบจากทางราชการแล้วไม่ต้องขอความเห็นชอบตามระเบียบนี้อีก
โดยก่อนดำเนินการให้ผู้แทนนายจ้างหรือสถานประกอบการเสนอเรื่องต่ออธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
๔.๔
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการอาจจัดฝึกงานเอง
หรือมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนเป็นผู้จัดฝึกงานแทนก็ได้ โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการฝึกงาน เช่น
ค่าสถานที่ฝึก ที่พัก วัสดุอุปกรณ์ เอกสาร วิทยากร
ค่าพาหนะ
และให้จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าอาหารแก่ผู้เข้ารับการฝึกงานตามที่ตกลงกัน ทั้งนี้
การฝึกงานในสถานประกอบการให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้รับเบี้ยเลี้ยงในอัตราไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และมิให้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ
จากคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
กรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนเป็นผู้จัดฝึกงาน
ให้ส่งสำเนาสัญญาหรือข้อตกลงแก่หน่วยงานสำนักงานจัดหางานกรุงเทพ หรือ
จัดหางานจังหวัด ยกตัวอย่างเช่น บริษัท
เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด ซึ่งมีสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี
มีความประสงค์จะจัดฝึกงาน-ฝึกอบรมคนพิการด้าน ICT ตามมาตรา ๓๕ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าทำงาน จำนวน ๘๐
คน งบประมาณจาก ๘๐ คน x ๑๐๘,๐๐๐ บาท เท่ากับ ๘,๖๔๐,๐๐๐ บาท (แปดล้านหกแสนสี่หมื่นบาทถ้วน)
๔.๕
หน่วยงานของรัฐอาจจัดฝึกงานเองหรือจะสนับสนุนงบประมาณให้แก่หน่วยงานของรัฐอื่นหรือเอกชนเป็น
ผู้จัดฝึกงานแทนก็ได้
ซึ่งต้องไม่ใช่ภารกิจตามปกติของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้น โดยให้หน่วยงานของรัฐ
รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฝึกงาน เช่น ค่าสถานที่
ที่พัก วัสดุอุปกรณ์ เอกสารวิทยากร
ค่าพาหนะ
และค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าอาหารแก่ผู้เข้ารับการฝึกงาน ทังนี้
ให้นำระเบียบว่าด้วยการฝึกอบรมของส่วนราชการมาใช้บังคับ โดยอนุโลม
ให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการแจ้งจำนวนและรายชื่อคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
วิทยากร
และรายการค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตรส่งให้หัวหน้าหน่วยงานสำนักงานจัดหางานกรุงเทพ
หรือ จัดหางานจังหวัด เพื่อดำเนินการตรวจสอบและให้ความเห็นชอบก่อนการฝึกงาน
การฝึกงานต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงานและจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
๕. หลักเกณฑ์การจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ การจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต้องมีลักษณะและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
๕.๑
หน่วยงานของรัฐ นายจ้างหรือสถานประกอบการแห่งนั้นได้รับลูกจ้างคนพิการ ซึ่งมีความ ต้องการจำเป็นพิเศษเฉพาะบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อให้สามารถทำงานได้
๕.๒ หน่วยงานของรัฐ นายจ้างหรือสถานประกอบการแห่งนั้น อาจจัดให้มีอุปกรณ์หรือ สิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่หน่วยงานของรัฐ
นายจ้างหรือสถานประกอบการซึ่งมีคนพิการเข้าทำงาน เป็นลูกจ้าง
๕.๓ การจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่
การจัดให้มีขึ้นใหม่ หรือปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง
หรือสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ โดยดำเนินการในสถานที่ของหน่วยงานของรัฐ นายจ้างหรือเจ้าของประกอบการซึ่งรับคนพิการเข้าทำงาน ทั้งนี้ ตามรายการที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามกฎหมาย ว่าด้วยการควบคุมอาคาร
หรือกฎกระทรวงที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริม
และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
เว้นแต่ไม่มีการกำหนดไว้ในกฎกระทรวงดังกล่าวให้เป็นไปตามที่
คณะอนุกรรมการประกาศกำหนด
๕.๔ มิใช่อุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่อาคารสำนักงานแห่งนั้นต้องอยู่ภายใต้บังคับ
ของกฎกระทรวง
๕.๕
ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี
ก่อนเริ่มดำเนินการ ให้หน่วยงานของรัฐ นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ
ดำเนินการสำรวจและออกแบบเกี่ยวกับการจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการและเสนอแผนงานโครงการที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการอุปกรณ์ ประมาณการค่าใช้จ่ายวงเงินงบประมาณและประโยชน์ ที่ คาดว่าจะได้รับ โดยยื่นต่อหัวหน้าหน่วยงานสำนักงานจัดหางานกรุงเทพ
หรือ จัดหางานจังหวัด เพื่อตรวจสอบและให้ความเห็นชอบ
การจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ ต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดจำนวนคนพิการ
ทีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน
คูณด้วยค่าแรงขั้นต่ำ (รายเดือน) ครบ ๑ ปี
และตรงกับจำนวนยอดเงินรวมที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กรณีหน่วยงานของรัฐ การพิจารณาวงเงินสำหรับการจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก
สำหรับคนพิการให้พิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมเพื่อให้คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้
๖. หลักเกณฑ์การจัดให้มีล่ามภาษามือ ได้แก่ การจัดให้มีบริการล่ามภาษามือต้องมีลักษณะและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
๖.๑
หน่วยงานของรัฐ นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการแห่งนั้นมีคนพิการซึ่งความต้องการ
จำเป็นพิเศษที่จะต้องใช้บริการล่ามภาษามือเพื่อสนับสนุนหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้สามารถสื่อสาร
กับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๖.๒
การจัดให้มีล่ามภาษามือในสัดส่วนหนึ่งคนต่อคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายยี่สิบคน
โดยก่อนเริ่มดำเนินการ ให้หน่วยงานของรัฐ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการดำเนินการสำรวจความต้องการจำเป็นพิเศษเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับการให้บริการล่ามภาษามือและเสนอแผนงานโครงการที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับประมาณการค่าใช้จ่าย วงเงินงบประมาณ และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับต่อหัวหน้าหน่วยงาน
การจัดให้มีบริการล่ามภาษามือของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดจำนวนคนพิการ
ทีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้าง
หรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการต่อการจ้างล่ามภาษามือหนึ่งคน
กรณีหน่วยงานของรัฐ
ให้กำหนดวงเงินในการจัดให้มีล่ามภาษามือให้พิจารณาตามความจำเป็น และเหมาะสมเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของคนพิการ
๗. หลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลืออื่นใด ได้แก่
หน่วยงานของรัฐ นายจ้าง
หรือเจ้าของสถานประกอบการอาจให้การสนับสนุน ด้านการเงินวัสดุ อุปกรณ์
ครุภัณฑ์ เครื่องมือ หรือทรัพย์สินอื่น รวมทั้ง
การซื้อสินค้าจากคนพิการ
หรือผู้ดูแลคนพิการโดยตรง
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้ประกอบอาชีพ ฝึกอาชีพ
เตรียมความพร้อมในการทำงาน
หรือกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอาชีพ การมีงานทำ
หรือการมีรายได้ของคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการตามความจำเป็น
หรือการให้ความช่วยเหลืออื่นใดที่คณะอนุกรรมการประกาศกำหนด
การให้ความช่วยเหลืออื่นใดต้องมีมูลค่าการดำเนินงานตามสัญญาหรือข้อตกลงไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน
และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
การซื้อสินค้าหรือบริการจากคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการโดยตรงต้องให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการมีกำไรจากการขายสินค้าหรือบริการไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับคนพิการเข้าทำงาน
และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
การคำนวณมูลค่าตาม
ให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการแสดงหลักฐาน
รายการค่าใช้จ่ายเพื่อประกอบการพิจารณา แล้วให้แจ้งกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด แล้วแต่กรณีภายใน ๓๐
วัน
นับแต่วันที่มีการดำเนินการเสร็จสิ้น
เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
๒) ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติ
๒.๑ ขั้นตอนการแสดงความจำนงค์
หน่วยงานของรัฐ/สถานประกอบการ
และคนพิการหรือองค์กรคนพิการแจ้งความจำนง โดยยื่นคำขอใช้สิทธิที่กรมการจัดหางาน
หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดหรือเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการนั้นตั้งอยู่เพื่อให้มีการจัดปรึกษาหารือระหว่างผู้เกี่ยวข้อง
เพื่อจัดให้มีการให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน
ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิที่จะขอรับความช่วยเหลือโดยตรงจากหน่วยงานของรัฐหรือสถานประกอบการ
เอกสารที่ต้องใช้:
๑.
แบบแจ้งขอใช้สิทธิตามมาตรา ๓๕ ลงทะเบียนสำหรับคนพิการ/ผู้ดูแลคนพิการ (กกจ.พก.1)
๒.
แบบแจ้งขอใช้สิทธิตามมาตรา ๓๕ ลงทะเบียนสำหรับองค์กรธุรกิจ/ภาครัฐ (กกจ.พก.2)
ติดต่อ: ลงทะเบียนที่สำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่
หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด เริ่ม ๑ ตุลาคม –
๓๑
มกราคมของทุกปี
๒.๒
ขั้นตอนการอนุมัติในการดำเนินงานตามมาตรา ๓๕
(๑)
ให้หน่วยงานของรัฐ/ สถานประกอบการ
และคนพิการหารือแนวทางการดำเนินกิจกรรมตามมาตรา ๓๕
จนได้ข้อสรุปและลงนามในสัญญาตามแบบที่กระทรวงแรงงานกำหนด
(๒)
ให้หน่วยงานของรัฐ/
สถานประกอบการเสนอสัญญาและหรือกิจกรรมให้สำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่
หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดดำเนินการพิจารณาตรวจสอบว่าเป็นไปตามระเบียบหรือไม่ หรือจะมีข้อเสนอแนะอย่างไร
แล้วอนุมัติเริ่มดำเนินกิจกรรมตามข้อสัญญา(ภายในปีที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย)
เอกสารที่ต้องใช้: สัญญาการสนับสนุน (สัมปทาน, จัดจ้างเหมาช่วง,
การฝึกงาน)ตามแบบที่กระทรวงแรงงานกำหนด
ติดต่อ: ผลการอนุมัติจากสำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่
หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด เพื่ออนุมั
ภายในวันที่
๓๑ มกราคมของปีถัดไป
๒.๓ ขั้นตอนการติดตามรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรา
๓๕
หน่วยงานของรัฐ/สถานประกอบการรายงานผลพร้อมแนบสัญญาตามแบบที่กระทรวงแรงงานกำหนด
ไปยื่นต่อกรมการจัดหางาน
หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดหรือเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการนั้นตั้งอยู่จากนั้นหน่วยงานของกรมการจัดหางานแจ้ง
พก.หรือ พมจ.เพื่อยืนยันผลการปฏิบัติ(หลังจากดำเนินการตรวจสอบผ่านแล้ว) เอกสารที่ต้องใช้: แบบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๓๕
ติดต่อ: สำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่ หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดดำเนินการตรวจประเมิน
โดยรายงานภายในวันที่
๓๑ ธันวาคมของทุกปี ในภาคผนวก ค
สำหรับกรณีที่ ๔ การ “ฝึกงาน”
จะมีขั้นตอนที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ ก่อนการยื่นเรื่องแสดงความจำนงขอใช้สิทธิ์ตามมาตรา
๓๕ แบบฟอร์ม กกจ.พก.๑ และ กกจ.พก.๒ นั้น
ต้องมีการยื่นเรื่องขออนุมัติหลักสูตรสำหรับการฝึกงานจากกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
กระทรวงแรงงาน (ส่วนกลาง) หรือในระดับพื้นที่ให้ยื่นเรื่องกับ
ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด และรอผลการอนุมัติ
แล้วจึงนำผลการอนุมัติยื่นเรื่องประกอบการแสดงความจำนงค์
สรุปเป็นขั้นตอนสำหรับการฝึกงาน ดังนี้
๑.
ยื่นเรื่องขออนุมัติหลักสูตรที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
กระทรวงแรงงาน หรือยื่นกับผู้ว่าราชการจังหวัด
และติดตามจนได้รับหนังสืออนุมัติหลักสูตร
๒.
ยื่นเรื่องขออนุมัติโครงการฯ
กับสำนักจัดหางานพื้นที่ กรุงเทพมหานคร หรือกับจัดหางานจังหวัด พร้อมกับยื่นหนังสือการอนุมัติหลักสูตรของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
กระทรวงแรงงาน กับศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด
จนได้รับหนังสืออนุมัติหลักสูตรในระดับพื้นที่จังหวัด และติดตามจนได้รับหนังสืออนุมัติโครงการ
๓.
ยื่นเรื่องแสดงความประสงค์ในการขอใช้มาตรา
๓๕ ไปยังกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
๔.
ดำเนินการฝึกงาน-ฝึกอบรมฯ
ตามแผนที่ได้ยื่นเรื่องในขั้นตอนที่ ๓